ทัวร์บอลข่าน กรีซ-บัลแกเรีย-มาซิโดเนีย-อัลบาเนีย-โคโซโว 14 วัน
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
14 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
สอบถาม
Hilight

ทัวร์บอลข่าน 

ไปทัวร์ คาบสมุทรบอลข่าน บนโลกกว้างใบนี้ถูกแบ่งแยกเป็นโซนพื้นที่ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเพื่อง่ายต่อการเข้าใจและจดจำ อาทิเช่น คาบสุมทรเกาหลี คาบสมุทรอาหรับ คาบสมุทรไอบีเรีย แต่ในห้วงเวลานี้มีหนึ่งในคาบสมุทรของโลกที่น่าค้นหาทำความรู้จักอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นดินแดนเก่าแก่ต้นกำเนิดชาวกรีก-โรมัน ดินแดนที่ว่านี้คือ “ คาบสมุทรบอลข่าน ” ปัจจุบันเป็นดินแดนของทวีปยุโรปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ 
โกลบอล ฮอลิเดย์ ขอเชิญเพื่อนนักเดินทางผู้มีใจรักการท่องโลกกว้างทัวร์บอลข่านเตรียมกายให้พร้อมสู่ดินแดนแห่งคาบสุมทรบอลข่านสำหรับการเดินทางทริปพิเศษครั้งใหม่ร่วมกัน ไปเที่ยวด้วยกันไปทัวร์บอลข่าน ทัวร์บอลข่าน ณ คาบสมุทรบอลข่าน ดินแดนล้ำค่าแห่งยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ทัวร์บอลข่านราคาถูก เยือนต้นกำเนิดชาวกรีกโรมันล้วนเป็นทัวร์ตำนานอภิมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก่อนคริสตกาล ความรุ่งเรืองและความล่มสลายแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา 

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพ (Bangkok) – อิสตันบูล (Istanbul)
    • 19.40 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 เคาน์เตอร์ S สายการบิน TURKISH AIRLINES โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      22.40 น.    เหินฟ้าสู่เมือง อิสตันบูล โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบินที่ TK 069 
      ( ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง 20 นาที )

  • Day 2
    อิสตันบูล (Istanbul) – เอเธนส์ (Athens)
    • 05.00 น.    เดินทางถึงสนามบินอิสตันบูล อตาเติร์ก รอเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ  
      06.55 น.    เหินฟ้าสู่เมือง เอเธนส์ โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบินที่ TK 1845 
      ( ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 30 นาที )
      08.25 น.  เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเอเธนส์ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงทางรถยนต์ราว 30 กิโลเมตรจากสนามบิน 
      10.00 น. ตั้งต้นสัมผัสอารยธรรมกรีกด้วยการเดินทางท่องเที่ยวใน กรุงเอเธนส์ ( Athens ) ที่เป็นเมืองหลวงประเทศกรีซ ชื่อของเอเธนส์นี้ตั้งตามชื่อของเทพีแห่งปัญญาอันมีนามว่า อทีน่า ( Athena ) ซึ่งตามตำนานเทพของกรีกเล่าว่า ชาวเมืองได้ร้องขอให้เธอเป็นเทพีอุปถัมภ์เมือง เมืองนี้จัดว่าเป็นนครโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสร้างขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล และเป็นแหล่งกำเนิดของระบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน  ทั้งเป็นขุมทองแหล่งนักปรัชญาดังอย่างโสเครตีส เพลโต และอริสโตเติล อันเป็นเสาหลักของแนวปรัชญาตะวันตกมาถึงปัจจุบัน 
      นำท่านชม อะโครโปลิส ( Acropolis ) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาผาหินปูนที่สูง 156 เมตร อันเปรียบเสมือนมงกุฎของกรุงเอเธนส์ คำว่า “อะโครโปลิส” แปลว่า เมืองในที่สูง ในสมัยโบราณเมืองของกรีกส่วนใหญ่จะมีอะโครโปลิสเป็นส่วนประกอบหลักเสมอ เพราะใช้เป็นที่หลบภัยยามถูกข้าศึกรุกราน เนื่องจากตั้งอยู่บนเขาสูงมีชัยภูมิที่ดีและเป็นจุดปลอดภัยที่สุดในเมือง อะโครโปลิสแห่งกรุงเอเธนส์สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทุกพื้นที่โดยรอบ ท่านจะได้ชม โรงละครกลางแจ้ง Theatre of Dionysus และ Theatre of Herod Atticus, ทางเข้า Propylaia ทางเข้ามหึมาที่มีเสาหินต้นใหญ่เรียงราย, วิหาร Temple of Athena Nike และวิหาร Temple of Erechtheion ตามลำดับ
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย    นำท่านชม วิหารพาเธนอน เป็นวิหารหินอ่อนอลังการใหญ่โตสมกับที่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของโลกซึ่งใช้เวลาก่อสร้างถึง 15 ปีเริ่มตั้งแต่ 447 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพีอทีน่ามีขนาดสูง 12 เมตรประดับด้วยงาช้างและทองคำ รอบวิหารด้านบนตกแต่งไปด้วยภาพหินอ่อนแกะสลักนูนสูงและรูปปั้นนูนสูงทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันภาพแกะสลักเหล่านั้นแทบไม่เหลือร่องรอยให้เห็น แต่มีส่วนหนึ่งถูกเก็บเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์
      จากนั้นนำชม พิพิธภัณฑ์อะโครโปลิส เป็นการปิดส่งท้ายการท่องเที่ยวในนครโบราณแห่งนี้อย่างสมบูรณ์
      เย็น        รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก  

  • Day 3
    เอเธนส์ (Athens) – โซเฟีย (Sofia) – คอพริซิซา – หุบเขากุหลาบ (Rose Valley) – คาซานลัค (Kazanlak)
    • เช้าตรู่ รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม ( แบบกล่อง )
      เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเอเธนส์ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย  
      08.50 น.    เหินฟ้าสู่เมือง โซเฟีย โดยสายการบิน AEGEAN AIRLINES เที่ยวบินที่ A3 856 
      ( ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 15 นาที )
      10.05 น.  เดินทางถึงสนามบินโซเฟีย เมืองโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย หลังผ่านพิธีการ
      ตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางสู่ เมืองคอพริซิซา ( Koprivshtitsa ) 
      ตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขา Sredna Gora ห่างจากเมืองโซเฟียซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศบัลแกเรียไปทางทิศตะวันออก มีระยะทางราว 108 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย ท่องเที่ยวชม เมืองคอพริซิซา ได้ถูกประกาศให้เป็นเมืองพิพิธภัณฑ์เพียงแห่งเดียวของประเทศบัลแกเรียในปีค.ศ.1952 และในเวลาต่อมาเมื่อปีค.ศ.1971 ถูกจัดให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ที่มีอยู่มากถึง 388 แห่ง เมืองนี้จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเขตอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมแห่งชาติในปีค.ศ.1978 และจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของบัลแกเรีย ที่นี่นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์เด่นๆอยู่มากมาย อาทิเช่น The Oslekov House, The Topalova House, The Todor Kableshkov House แล้วก็ยังอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจและเป็นบ้านเกิดของนักกวีเอกชาวบัลแกเรียมีนามว่า Dimcho Debelyanov (1887-1916) บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1830 ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวชีวประวัติโดยย่อและพัฒนาการด้านการประพันธ์กวี รวมถึงตัวอย่างลายมือเขียน รูปถ่าย และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของเขา ส่วนอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชม คือ บ้านเกิดของวีรบุรุษแห่งการปฏิวัติเดือนเมษายน ปีค.ศ.1876 ที่มีชื่อว่า Gavril Gruyev Haltev (1843-1876) หรือที่รู้จักกันในนามแฝงว่า Georgi Benkovski บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1831 แต่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมแล้วถูกแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในปีค.ศ.1966 ซึ่งภายในจัดแสดงถึงเรื่องราวของการปฏิวัติที่เกิดขึ้น รวมถึงภาพถ่ายต่างๆที่ถูกเก็บบันทึกไว้ และบรรดาปืนที่เขาใช้ในระหว่างทำการปฏิวัติ ปืนใหญ่ เครื่องแบบของเขา และธงสัญลักษณ์ที่ใช้ในการปฏิวัติ เป็นต้น นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้วยังมีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ได้แก่ บรรดาโบสถ์เก่าแก่อย่าง Saint Nikolay Catherdal, Church Assumption of the Blessed Virgin เป็นต้น หรือสะพานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอย่าง Kalachev Bridge ที่รู้จักกันในนาม The First Shot Bridge เพราะเป็นสถานที่แห่งแรกที่ชาวเมืองได้ยินเสียงปืนนัดแรกที่เป็นการส่งสัญญาณเริ่มต้นการปฏิวัติเดือนเมษายน เนื่องจากชาวบัลแกเรียต้องการมีอิสรภาพจากการกดขี่ของพวกออตโตมันในสมัยนั้น     
      เดินทางต่อสู่ เมืองคาซานลัค มีระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง 
      นำท่านชม หุบเขากุหลาบ (Rose Valley) เป็นเนินกว้างทั่วบริเวณเต็มไปด้วยแปลงกุหลาบดอกโตบานสะพรั่ง การเก็บกุหลาบจะมีระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 3 อาทิตย์และจะต้องเก็บด้วยมือเท่านั้น มีเคล็ดลับสำคัญคือต้องเด็ดเฉพาะตอนเช้าตรู่เท่านั้นเพื่อให้ได้กุหลาบคุณภาพดี ซึ่งกุหลาบทั้งหมดที่เก็บแล้วจะถูกนำมาประมูลเพื่อสกัดทำน้ำมันดอกกุหลาบ ที่นี่มีกุหลาบหลากหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในการผลิตน้ำมันกุหลาบนั้น คือ Damascena ดอกสีชมพูอ่อนที่มีต้นกำเนิดจากตุรกี ลักษณะของกลีบดอกจะค่อนข้างใหญ่และบานซ้อนกันหลายชั้น   เดินทางต่อนำชม โรงงานผลิตน้ำมันกุหลาบ เป็นโรงงานผลิตแบบท้องถิ่นที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมสินค้าและกระบวนการผลิตน้ำมันดอกกุหลาบที่เป็นสินค้าเลื่องชื่อของบัลแกเรีย รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ ที่ทำจากกุหลาบ ไม่ว่าจะเป็นโลชั่น ครีมทามือ ลิปบาล์ม ไวน์ และแยมกุหลาบ เป็นต้น
      ค่ำ        รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก






  • Day 4
    คาซานลัค (Kazanlak) – พลอฟดิฟ (Plovdiv) – โซเฟีย (Sofia)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      เมืองคาซานลัค เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างมากเพราะเทศกาลดอกกุหลาบประจำปีจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองนี้ เป็นเมืองทางตอนใต้ของเทือกเขาบอลข่าน ด้วยทำเลที่ตั้งดีและมีอุณหภูมิที่พอเหมาะ จึงทำให้ที่นี่เป็นเขตปลูกกุหลาบแหล่งใหญ่ของโลก ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนทุกปีคาซานลัคจะหอมหวนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของกุหลาบทั่วงานแฟร์ที่มีชาวบ้านมาออกร้านสินค้าที่ระลึกอย่างเอิกเกริกมีชีวิตชีวา 
      นำท่านชมไฮไลต์ของคาซานลัคอีกแห่งหนึ่ง สุสานโบราณเทรเซียน คือสุสานที่
      เก่าแก่ตั้งแต่ยุคเฮลเลนิสติก ถูกค้นพบครั้งแรกโดยทหารบัลแกเรียในปีค.ศ.1944 บริเวณที่ตั้งสุสานปัจจุบัน อยู่ในเขตเมืองหลวงเก่าเซฟโตโปลิสในสมัยของพระเจ้าเซฟเตสที่ 3 กษัตริย์แห่งเทรเซียน ภายในสุสานมีภาพเขียนสีโบราณตามฝาผนังและเพดานที่สะท้อนวัฒนธรรมและประเพณีการฝังศพของชาวเทรเซียน อาทิ ภาพวาดที่มีกษัตริย์เทรเซียนและชายาประทับอยู่ท่ามกลางรายล้อมด้วยนางกำนัลและเหล่าทหาร รวมถึงภาพการทำเหล้าองุ่น ภาพการขี่ม้า ภาพเล่นดนตรี และมีลวดลายตกแต่งทรงเรขาคณิตที่วาดคั่นภาพเป็นชั้นๆ ทั้งสีและลายเส้นยังคงชัดเจนแม้ผ่านกาลเวลามานับพันปีควรค่าแก่การเป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง
      เดินทางต่อสู่ เมืองพลอฟดิฟ ( Plovdiv ) มีระยะทางราว 104 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 45 นาที พลอฟดิฟ เป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากโซเฟีย และได้ชื่อว่าเป็นเมืองเก่าแก่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของยุโรป และเป็นเมืองเก่าแก่ที่ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นอันดับ 6 ของโลก เนื่องด้วยเป็นเมืองโบราณเก่ามีอายุกว่า 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชื่อเมืองถูกปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย บ้างก็เรียกว่า Eumolpia, Trimontium, and Paldin แต่ชื่อที่ถูกเรียกขานกันมากที่สุดในอดีตคือ Philippopolis มีความหมายว่า เมืองแห่งพระเจ้าฟิลลิป ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งอาณาจักรมาซิดอน เพราะพระองค์ได้รับชัยชนะจากการทำสงครามในเมืองแห่งนี้เมื่อ 342 ปีก่อนคริสต์ศักราช จึงตั้งชื่อใหม่เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์ และในเวลาต่อมาเมืองแห่งนี้ก็ตกอยู่ใต้การปกครองดูแลของจักรวรรดิโรมัน เมืองเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่และมั่งคั่งที่สุดของอาณาจักรเธรซ (ของชาวเทรเซียน) 
      นำท่านเดินชมเมืองเก่าพลอฟดิฟ เริ่มต้นจาก ประตูฮิสซาร์ กาเปีย (Hisar Kapia Gate / Hisar kapiya Gate) ซึ่งเป็นประตูเมืองเก่าตั้งแต่สมัยยุคกลางราวช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยสร้างทับฐานประตูเมืองเก่าในยุคโรมันช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2 ประตูนี้เป็น 1 ใน 3 ประตูหลักที่ใช้เข้าเมืองพลอฟดิฟในอดีต ต่อมาในยุคของจักรวรรดิออตโตมันก็ได้มีการสร้างบ้านเรือนฝังทับลงบนซากกำแพงเมืองเก่าที่เหลืออยู่รายรอบประตูเมืองดังกล่าวและยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วน กำแพงเมืองเก่ายุคโรมัน (Roman City Walls) ที่ยังยืนยงนี้สร้างกลิ่นไอแห่งเมืองเก่าให้คุกรุ่นไม่ถูกลืมเลือนตามกาลเวลา แต่กลับงามสง่าและกลมกลืนเข้ากับยุคปัจจุบันอย่างลงตัว นำชม ศูนย์วัฒนธรรมตราการ์ต (Trakart Cultural Center) เป็นสถานที่เก็บรวบรวมพื้นงานโมเสกที่มีลวดลายสวยงามหลากหลายชิ้นงานที่สะท้อนย้อนถึงอดีตว่ามีช่างฝีมือมากมายในเมืองฟิลลิปโปโปลิสในยุคนั้น จากนั้นพาท่านชม โรมันสเตเดียม (Roman Stadium) ที่อนุรักษ์ไว้อย่างดี  โรงละครโรมันโบราณ (Roman Theatre) ที่ปัจจุบันยังคงใช้ในการแสดงต่างๆเช่นกัน และ โรมันฟอรั่ม (Roman Forum) ลานชุมนุมของเหล่าปราชญ์ในอดีต 
      ก่อนอำลาเมืองพลอฟดิฟ อิสระเชิญท่านตื่นตาตื่นใจกับการเดินเล่นในเขตเมืองเก่าบนถนนสายหลักอย่าง Ulitsa Knyaz Alexandar I มีบรรยากาศคึกคัก สองข้างทางเป็นอาคารโบราณสีสันสดใส ดัดแปลงเป็นร้านรวงช้อปปิ้งทั้งสินค้าแฟชั่น ของที่ระลึก ร้านอาหาร คาเฟ่ที่ส่วนใหญ่ตกแต่งหน้าร้านกันอย่างเก๋ไก๋สะดุดตา
      ครั้นได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่ โซเฟีย มีระยะทางประมาณ 
      145 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก 
  • Day 5
    โซเฟีย (Sofia)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      เตรียมพร้อมจุดประกายท่องเที่ยวและมาทำความรู้จักให้มากขึ้นกับเมืองหลวงอย่าง เมืองโซเฟีย
      เริ่มต้นเดินทางท่องเที่ยวใน เมืองโซเฟีย (Sofia) เป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศบัลแกเรีย เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในทวีปยุโรปที่สร้างขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล เดิมมีชื่อว่า
      เซอร์ดิก้า (Serdika) ตั้งอยู่บนที่ราบโซเฟียบริเวณเนินเขาวิโตชาที่ระดับความสูง 550 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีชัยภูมิที่ดีเพราะทำเลเมืองนั้นเป็นจุดตัดทางแยกเชื่อมระหว่างประเทศยุโรปตะวันตกกับตุรกีซึ่งถือเป็นประตูสู่เอเชียตะวันตกและประเทศแถบตะวันออกกลาง อีกทั้งเป็นเมืองที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ในคาบสมุทรบอลข่านได้อย่างสะดวกในปัจจุบัน เมื่อครั้งอดีตในสมัยของกษัตริย์คอนสแตนตินมหาราช (ช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 306-337) โซเฟียถือเป็นเมืองโปรดปรานของพระองค์มากถึงกับกล่าวว่า เซอร์ดิก้าคือกรุงโรมของฉัน  
      นำท่านชม กำแพงป้อมปราการโรมันแห่งเซอร์ดิก้า (Roman Serdika Fortifications) เป็นเพียงซากปรักพังของกำแพงป้อมปราการเก่าที่สร้างขึ้นในยุคโรมันที่ยังคงหลงเหลืออยู่ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเซอร์ดิก้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-6 ปัจจุบันถูกจัดเป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่สุดที่อนุรักษ์ไว้ของเมืองโซเฟีย นำเดินชม โบสถ์เซ็นต์จอร์จ (St. George’s Rotunda) ที่เป็นโบสถ์เก่าทรงกลมที่สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์คอนสแตนตินมหาราชในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 โดยเริ่มแรกสร้างเพื่อใช้เป็นสถานที่สาธารณประโยชน์ ครั้นต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์ได้เผยแพร่สู่จักรวรรดิโรมันเข้ามาที่นี่ จึงกลายเป็นอาคารสำหรับการเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ จนกระทั่งรัชสมัยของกษัตริย์จัสติเนียนมหาราช (ช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 527-565) จึงถูกเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์และเริ่มมีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์เป็นครั้งแรกในช่วงยุคนี้ 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย    นำชม มหาวิหารเซ็นต์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ (St. Alexander Nevsky Cathedral) โบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ.1882-1912 ในรูปแบบนีโอ-ไบเซนไทน์ อยู่ในสังกัดบัลแกเรียนออโธด๊อกซ์ ซึ่งใช้เป็นที่ประทับของพระสังฆราชแห่งบัลแกเรีย ถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองบนคาบสุมทรบอลข่านรองจากมหาวิหารเซ็นต์ซาว่าในนครเบลเกรดของประเทศเซอร์เบีย มหาวิหารแห่งนี้มีหลังคาโดมทองคำสูง 45 เมตรและหอระฆังสูงกว่า 53 เมตรและมีระฆังใบใหญ่ที่มีน้ำหนักมากที่สุด 12 ตัน ภายในมหาวิหารนี้ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนจากอิตาลีหลากสี หินสีจากบราซิล หินปูนยิปซั่มสีขาวและวัสดุหรูหรามากมายอันงดงามตระการตาออกแบบโดยสถาปนิกชาวรัสเซีย Alexander Promerantsev
      จากนั้นเดินชม โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย (St. Sofia Church) เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดอันดับสองของบัลแกเรียที่สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์จัสติเนียนมหาราชเมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่ร่วมสมัยเดียวกันกับโบสถ์ฮาเกียโซเฟียในกรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบัน คือ กรุงอิสตันบูล) ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นช่วงอาณาจักรบัลแกเรียที่สอง โบสถ์แห่งนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อมาใช้ชื่อเดียวกันกับชื่อเมือง ในกาลต่อมาโบสถ์ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นมัสยิดโดย
      ได้ทำลายภาพจิตรกรรมเขียนฝาผนังดั้งเดิมลงและสร้างหอขานละหมาดเพิ่มเติมแทนในช่วงที่ตกอยู่ภายใต้การ
      ปกครองของพวกออตโตมันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16  ในบริเวณใกล้เคียง นำท่านเดินชมและถ่ายรูปที่ จัตุรัสรัฐสภา (Parliament Square) หอภาพยนตร์แห่งชาติ (National Theatre) ตามลำดับ 
      แล้วเดินทางต่อไปชม โบสถ์โบยานา (Boyana Church) เป็นโบสถ์ยุค
      กลางที่เก่าแก่เริ่มสร้างครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 และสร้างต่อเติม
      เป็นครั้งที่สองในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 และครั้งสุดท้ายในช่วงกลางคริสต์
      ศตวรรษที่ 19 ภายในโบสถ์จะมีภาพของเซ็นต์อีวาน Saint Ivan ที่เก่าแก่ที่สุดรอด
      เหลืออยู่ซึ่งเป็นนักบุญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญประจำชาติบัลแกเรียและเป็นผู้สร้างอารามริล่า อีกทั้งยังมีภาพของนักบุญท่านอื่นๆ ในโบสถ์นั้นด้วย แต่จะมีภาพแปลกของนักบุญชาวซีเรียชื่อ St.Ephrem ที่ดวงตาของท่านจะมองตามนักท่องเที่ยวไปทุกหนแห่งในโบสถ์ เชิญพิสูจน์ดูด้วยตัวท่านเอง ที่สำคัญคือเป็นโบสถ์คริสต์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1979 
      นำท่านชม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (The National Museum of History) สร้างขึ้นในปีค.ศ.1973 ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ได้จัดเก็บวัตถุโบราณและสิ่งของมีค่าต่างๆมากกว่า 650,000 ชิ้น ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนคาบสมุทรบอลข่าน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงเรื่องราวความเป็นมาของประวัติศาสตร์ของชาติบัลแกเรียตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคปัจจุบันในบริบทความเป็นชาติแห่งยุโรป อิสระยามเย็น เชิญท่านพักผ่อนในโรงแรมหรือเดินเล่นชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองบนถนนคนเดินเล่นของเมืองหลวงแห่งนี้ตามอัธยาศัย
      ค่ำ        รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก

  • Day 6
    โซเฟีย (Sofia) – อารามริล่า (Rila Monastery) – เมลนิค (Melnik) – แซนแดนสกี้ (Sandanski)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางไปยังทิศใต้สู่ อารามริล่า (Rila Monastery) มีระยะทางราว 125 กิโลเมตร เดินทางราว 2 ชั่วโมง 
      นำท่านชม อารามริล่า ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทิวเขาทอดยาวยอดเขาสูงถูกปกคลุมด้วยหิมะบนภูเขาริล่าชื่อเดียวกันกับอารามในระดับความสูง 1,147 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อารามริล่าถูกสร้างขึ้นในช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 10 มีการก่อสร้างเพิ่มเติมและปรับปรุงไปตามกาลเวลาในแต่ละยุคสมัยจนถึงครั้งสุดท้ายในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมู่อารามขนาดใหญ่กว้างถึง 8,800 ตารางเมตรที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบบัลแกเรียนเรอเนสซองส์ มองดูคล้ายศิลปะมุสลิมผสมยุโรปที่มีเอกลักษณ์ ภายในอารามมีภาพวาดสีสันสดใสบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์และคำสอนตามพระคัมภีร์ มีภาพไอคอนขนาดใหญ่ทำด้วยทองคำแท้อยู่ตรงกลาง บริเวณในเขตอารามยังเป็นที่เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าทางศาสนา หอสมุดที่เก็บรวบรวมตำราโบราณสะท้อนถึงความเป็นเลิศทั้งด้านศิลปะและวรรณกรรมของชาวบัลแกเรีย อารามริล่าแห่งนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของบัลแกเรียและเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมชั้นนำอันดับหนึ่ง อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1983  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย ออกเดินทางสู่ เมืองเมลนิค ( Melnik ) มีระยะทางประมาณ 119 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง
      ระหว่างทางท่านจะได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติสองข้างทางที่สวยงามในช่วงฤดูกาลนี้สลับกับบรรยากาศเรียบง่ายสงบของเมืองชนบทเล็กๆที่รถแล่นผ่าน ปัจจุบันถึงแม้ว่าเมืองเมลนิคเป็นเมืองที่เล็กที่สุดในบัลแกเรีย แต่ทว่าโดดเด่นขึ้นชื่อมากในเรื่องการผลิตไวน์แดง และมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่น่าสนใจ มีการกล่าวกันว่าชาวทราเซียนซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าโบราณก็เคยอาศัยอยู่ในบริเวณแถบนี้และมีหลักฐานปรากฎที่เกี่ยวกับเมืองเมลนิคตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 ต่อมาในช่วงปีค.ศ.1215 เมลนิคกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเล็กๆ ซึ่งผู้ปกครองในสมัยนั้นได้สร้างป้อมปราการไว้โดยยังมีส่วนที่เหลืออยู่ได้ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี 
      นำท่านชมเมืองเมลนิคโดยรอบ เมืองนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นเมืองพิพิธภัณฑ์ทั้งเมืองในปีค.ศ.1968 เพราะมีการอนุรักษ์ไว้ซึ่งโบสถ์เก่าเล็กๆ จำนวนมากและคฤหาสน์เก่าสไตล์ไบแซนไทน์หลายแห่งซึ่งหลังที่มีชื่อเสียงมากคือ คฤหาสน์บ้านคอร์โดปูลอฟที่สร้างในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยพ่อค้า
      วานิชชื่อดังได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นทั้งที่อยู่พักอาศัยและเป็นที่ผลิตเก็บบ่มไวน์ 
      แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทางประวัติศาสตร์และการผลิตไวน์
      และเมืองแห่งนี้ยังมีธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาเป็นกลุ่มภูเขาหินทรายที่มี
      รูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมพีระมิดตั้งกระจัดกระจายบนพื้นที่กว่า 50 ตารางกิโลเมตรที่
      จัดเป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอีกอย่างหนึ่ง
      ออกเดินทางต่อสู่ แซนดานสกี้ (Sandanski) มีระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 40 นาที
      เมืองแซนดานสกี้ ตั้งอยู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของบัลแกเรีย เป็นเมืองเชื่อมผ่านที่สำคัญที่อยู่ห่างจากชายแดนของประเทศกรีซเพียง 20 กิโลเมตร และได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสปา เพราะมีน้ำพุร้อนตามธรรมชาติกว่า 80 แห่งที่มีอุณหภูมิระหว่าง 42-81 องศาเซลเซียส ซึ่งแร่น้ำพุร้อนสามารถใช้ประโยชน์ในการบำบัดรักษาโรคเกี่ยวกับไขข้อต่างๆ ระบบหายใจ และระบบประสาทได้ดี อันเป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งของการตั้งรกรากบนดินแดนแถบนี้ในอดีต มีเรื่องราวตำนานเล่าว่าท่านสปาตาคัสชาวทราเซียนซึ่งเป็นผู้นำของทาสกลุ่มใหญ่ที่สุดในการลุกขึ้นต่อ
      สู้กับอาณาจักรโรมันก็เกิดที่เมืองนี้ เมืองรายล้อมด้วยหุบเขา Bistritsa River กล่าวกันว่าอากาศที่นี่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดในยุโรปและมีสภาพอากาศที่ดีที่สุดในบัลแกเรีย จึงทำให้เมืองนี้เป็นเมืองสุดปรารถนาของเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติสำหรับการพักผ่อนชำระกายใจในบรรยากาศสดชื่น เชิญท่านผ่อนคลายอิริยาบถด้วยการช้อปปิ้งในแซนดานสกี้บนถนนช้อปปิ้งสายหลักอย่าง มาซิโดเนีย อเวนิว (Macedonia Avenue) ในบรรยากาศใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ที่ขนาบข้าง เพลิดเพลินกับอาร์ตแกลอรี่ที่มีอยู่มากมายบนถนนสายนี้อย่างมีความสุข
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก  

  • Day 7
    แซนดานสกี้ (Sandanski) – เมืองโรมันเก่าสโตบิ (Stobi) – บิโตล่า (Bitola) – โอฮิด (Ohrid)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      [ ระยะทางจาก แซนดานสกี้/ประเทศบัลแกเรีย ถึง สโตบิ/ประเทศมาซิโดเนีย ราว 160 กิโลเมตร // 3 ชั่วโมง ]
      เบิกฟ้ารับอรุณเช้าวันใหม่ เตรียมตัวเดินทางข้ามพรมแดนไปยัง ประเทศมาซิโดเนีย ที่ติดกับภาคตะวันตกของประเทศบัลแกเรีย หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านชายแดนของทั้งสองประเทศแล้ว นำท่านเดินทางไปสู่เมืองโรมันสโตบิ (Stobi) ก่อนพวกโรมันจะเข้ามาครอบครอง สโตบิเป็นเมืองที่ชาวไพโอเนียนได้ตั้งรกรากอยู่กันมาก่อน ต่อมาในยุคของโรมัน สโตปิได้กลายเป็นเมืองหลวงของโรมันในเขตมาซิโดเนีย ซาลูตาริส  
      นำท่านเดินชมเมืองเก่าโดยรอบพร้อมกับมองย้อนกลับไปถึงอดีตอันรุ่งเรืองของที่นี่ได้แก่ ถนนสายหลักของเมืองอย่างถนนเวีย อะเซีย (Via Axia), โบสถ์คริสต์ (Basilica), พระราชวัง อัฒจันทร์ ร้านค้า ห้องน้ำสาธารณะ และพื้นปูโมเสกลวดลายนกยูงที่ยังคงมีรายละเอียดอย่างสมบูรณ์ เป็นต้น 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางต่อสู่ เมืองบิโตล่า (Bitola) มีระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 30 นาที เมืองบิโตล่าในยุคจักรวรรดิออตโตมัน (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14) นั้นมีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและมีการสร้างมัสยิดไว้อย่างมากมาย ทั้งยังได้สมญานามว่าเป็น “เมืองแห่งกงสุล” เพราะมีหลายประเทศในยุโรปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมืองนี้ ปัจจุบันเมืองบิโตล่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับสองของประเทศมาซิโดเนียและเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม วัฒนธรรม และด้านการศึกษาอีกด้วย
      นำท่านนั่งรถชมเมืองบิโตล่าดูบรรยากาศโดยรอบและแวะชม Isak Dzamija Mosque มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยพ่อค้าวานิชผู้ร่ำรวยชื่อว่า ไอแซค (Isaac) เป็นหนึ่งในมัสยิดเพียงไม่กี่แห่งที่เหลือรอดพ้นจากการทำลายและดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน  
      นำท่านชม Heraclea Lyncestis ที่อยู่ห่างจากเมืองบิโตล่าประมาณ 
      4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่
      อลังการของอาณาจักรมาซิดอนที่เจริญรุ่งเรืองในช่วง 400 ปีก่อนคริสต
      กาลตรงกับสมัยของพระเจ้าฟิลลิปที่ 2กษัตริย์กรีกแห่งมาซิดอน (พระบิดา
      ของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช) ผ่านทางงานสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างต่างๆ
      อาทิเช่น อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ยาวกว่า 58 เมตรพร้อมแถวที่นั่ง 20 แถว และงานโมเสก
      รูปแบบต่างๆที่สวยงาม 
      เดินทางต่อสู่จุดหมายปลายทางที่ เมืองโอฮิด (Ohrid) มีระยะทางราว 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว นำท่านเดินทางตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อเช็คอิน
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก
  • Day 8
    โอฮิด (Ohrid)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      เริ่มต้นการเที่ยวชมภายใน เมืองโอฮิด (Ohrid) ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ อันได้แก่   
      โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย (Church of St. Sophia) ในส่วนหลักของโบสถ์สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 และได้สร้างเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งภายในโบสถ์แห่งนี้โดดเด่นเรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คงรักษาสภาพไว้ค่อนข้างดี ส่วนสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของโบสถ์ที่สวยงามเป็นเสมือนตัวอย่างผลงานชิ้นเอกของยุคกลางในประเทศมาซิโดเนีย
      โบสถ์เซ็นต์โบโกโรดิก้า เปอริฟเลฟต้า (Church of St. Bogorodica Perivlepta) โบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1295 โดย Progon Zgur บุตรเขยของจักรพรรดิแอนโดรนิคัสที่ 2 เพื่ออุทิศถวายแด่พระแม่มารี Virgin Mary 
      ส่วนคำว่า Perivlepta มีความหมายว่า เป็นผู้เห็นผู้ได้ยินผู้รู้ในทุกสรรพสิ่ง จึงเป็นคำสรรเสริญในคุณลักษณะของ
      พระแม่มารี โบสถ์แห่งนี้โดดเด่นในด้านภาพเขียนฝาผนังแบบยุคฟื้นฟูศิลปะ (Renaissance Art) ที่แอบมีการลงลายเซ็นของศิลปินยุคไบแซนไทน์ทั้งสองท่านไว้ในภาพวาดอีกด้วย คือ Mihailo กับ Evtihie
      ป้อมปราการซามูอิล (Samuil’s Fortress) ปัจจุบันเป็นป้อมปราการเก่าที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าของโอฮิด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรบัลแกเรียนที่ 1 สร้างขึ้นในช่วงที่อยู่ใต้การปกครองของท่านซามูอิลในยุคกลาง แต่จากกระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณของเหล่านักโบราณคดีชาวมาซิโดเนียเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าป้อมปราการแห่งนี้ได้สร้างทับป้อมปราการเดิมที่คาดว่าสร้างโดยพระเจ้าฟิลลิปที่ 2 แห่งมาซิดอนในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล   โรงละครกรีกเก่า (Ancient Theatre of Ohrid) ซึ่งสร้างขึ้นในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาลและเป็นโรงละครในยุคเฮเลนนิสติกเพียงแห่งเดียวที่พบในมาซิโดเนีย ลักษณะของโรงละครเป็นโรงละครกลางแจ้งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยมมีภูเขาสองลูกโอบล้อมซึ่งช่วยป้องกันลมที่อาจรบกวนการควบคุมเสียงในขณะทำการแสดง ในสมัยโรมัน ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่ประลองกำลังของนักต่อสู้และเป็นลานประหารชีวิตด้วย แต่ปัจจุบันโรงละครแห่งนี้ได้ถูกใช้ให้เป็นสถานที่การแสดงสาธารณะอย่างเช่นการแสดงคอนเสิร์ต การแสดงโอเปร่า การแสดงบัลเล่ต์ เป็นต้น   โบสถ์เซ็นต์จอห์นคานีโอ (Church of St.John at Kaneo) ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิกายมาซิโดเนียออโธด๊อกซ์ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาเหนือชายหาดคานีโอมองลงไปเห็นทะเลสาบโอฮิด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 สถาปัตยกรรมของโบสถ์แห่งนี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมตามแบบโบสถ์อาร์มาเนีย ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างโอ่อ่าสวยงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังมีสีสันงดงาม โดยเฉพาะภาพวาดของพระแม่มารีและเหล่านักบุญที่บริเวณหน้ามุขของโบสถ์ รวมถึงรูปเคารพไม้แกะสลักที่วิจิตรบรรจง 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านชม อารามเซ็นต์นาอุม (Monastery of St. Naum) อารามแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.905  โดยเซ็นต์นาอุมและศพท่านเองก็ถูกฝังที่นี่ แต่ตัวอารามหลักในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีบทบาททำหน้าที่เป็นโรงเรียนสอนปรัชญากรีก ภายในวิหารปรากฏภาพเขียนฝาผนัง
      วาดให้เห็นถึงเรื่องราวแห่งชีวิตและความมหัศจรรย์ของเซ็นต์นาอุมที่
      ศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นสถานที่สำคัญในการจาริกแสวงบุญของชาวคริสต์แห่งหนึ่ง
      ชมวิถีชีวิตของผู้คนในถิ่นนี้ได้จาก ตลาดสด (Green Market) และเดินทอดน่อง
      สบายๆ บนถนนคนเดินของเมืองโอฮิด ให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าขึ้นชื่อของโอฮิดคือ
      ไข่มุก และสินค้าพื้นเมืองต่างๆของมาซิโดเนียได้อย่างอิสระ
      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก
  • Day 9
    โอฮิด (Ohrid) – เบรัต (Berat) – เฟียร์ (Fier)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      [ ระยะทางจาก โอฮิด/ประเทศมาซิโดเนีย ถึง เบรัต/ประเทศอัลบาเนีย ราว 160 กิโลเมตร // 3 ชั่วโมง ]
      อำลาประเทศมาซิโดเนีย มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เตรียมตัวเดินทางข้ามพรมแดนสู่ ประเทศอัลบาเนีย ที่อยู่ติดกัน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านชายแดนของทั้งสองประเทศแล้ว นำท่านเดินทางสู่ตอนกลางของประเทศอัลบาเนียไปยัง เมืองเบรัต (Berat) เมืองเก่าเล็กๆอายุมากกว่า 2,400 ปีที่ท่านไม่ควรพลาดชมเพราะย่านประวัติศาสตร์เก่าของเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก เนื่องจากอาคารบ้านเก่าสไตล์ออตโตมันที่มีกำแพงอาคารสีขาวหน้าต่างสีดำตั้งเกาะกลุ่มกันไล่ระดับไปตามแนวเขา มองดูแล้วราวกับว่าบ้านสร้างซ้อนกันไปมาล้อมปราสาทเก่าที่ตั้งอยู่บนยอดเขา จนได้รับการขนานนามว่า “เมืองหน้าต่างพันบาน” 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน  
      บ่าย นำท่านเดินเท้าชม เมืองเก่าแห่งเบรัตและป้อมปราการเก่า The Kala ราวช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในช่วงยุคกลางที่คงอนุรักษ์ไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ดีที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงของพวกออตโตมันในยุคกลาง โดย
      ด้านล่างของป้อมปราการจะเป็นโซนเมืองเก่าที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Mangalem ที่อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของชาวมุสลิมดั้งเดิม และ Gorica ที่อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำโอซัม เป็นพื้นที่อาศัยของชาวคริสเตียนดั้งเดิม 
      เดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่ เมืองเฟียร์ (Fier) มีระยะทางราว 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว นำท่านเดินทางตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อเช็คอิน
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก 
  • Day 10
    เฟียร์ (Fier) – อโพลโลเนีย (Apollonia) – อารามอาร์ดีนิก้า (Ardenica Monastory) – ติรานา (Tirana)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกสู่ อโพลโลเนีย ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตรจากเมืองเฟียร์ 
      นำชมเมืองโบราณเก่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเข้ามาตั้งรกรากของชาวอิลลีเรียนในอัลบาเนียที่สร้างขึ้นในช่วง 600 ปีก่อนคริสตกาลในบริเวณเนินเขาใกล้กับทะเลเอเดรียติกและใกล้ปากแม่น้ำ Vjose ซึ่งชาว
      อิลลีเรียนมีบทบาทโดดเด่นในการสืบทอดทางด้านภาษาอันเป็นพื้นฐานของภาษาอัลบาเนียในปัจจุบันคือ Tosks ที่นิยมใช้ในตอนใต้ของประเทศอัลบาเนีย
      จากนั้นเดินทางต่อไปชม อารามอาร์ดีนิก้า (Ardenica Monastery) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเฟียร์ห่างออกไป 10 กิโลเมตร อารามแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1282 โดยจักรพรรดิแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์มีพระนามว่า Andronikos II Palaiologos แต่อารามนี้กลับมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักก็เพราะเป็นสถานที่เฉลิมฉลองงานแต่งงานของวีรบุรุษแห่งชาติอัลบาเนียนามว่า Skanderbeg กับเจ้าสาว Andronika Arianiti
        เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.1451 ในเวลาต่อมาช่วงปีค.ศ.1780 อารามแห่ง
      นี้กลายเป็นโรงเรียนสอนด้านเทววิทยา และใช้เป็นหอสมุดเก็บรวบรวมหนัง
      สือกว่า 32,000 เล่มแต่ถูกไฟเผาไหม้ทั้งหมดไม่เหลือเมื่อปีค.ศ.1932 ภายใน
      อารามแห่งนี้มีโบสถ์พระแม่มารีผู้บริสุทธิ์ตั้งอยู่ ซึ่งมีภาพเฟรสโก้สำคัญๆหลายชิ้นที่
      เป็นฝีมือของจิตรกรสองพี่น้องแห่งตระกูลโซกราฟี Zografi ในช่วงปีค.ศ.1744 อาทิเช่น ภาพเฟรสโก้ที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์เก่า พระคัมภีร์ใหม่ หลักคำสอนทางคริสต์ศาสนา และเรื่องราวของนักบุญต่างๆ เป็นต้น 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางต่อสู่ เมืองติรานา (Tirana) มีระยะทางประมาณ 115 กิโลเมตร 
      ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 45 นาที เมืองติรานา เป็นเมืองหลวงและ
      เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอัลบาเนียที่มีประชากรอาศัยอยู่ 770,000 คน 
      โดยคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นำท่านชมเมืองหลวงโดยรอบ อันได้แก่ 
      จัตุรัสหลักกลางเมือง มัสยิดเก่า อาคารรัฐสภา และตึกอาคารบ้านช่องที่ทาสีสันสะดุดตา ตามลำดับ 
      อิสระเดินเล่นในย่านใจกลางเมือง จนได้เวลาพอสมควร เดินทางตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อเช็คอิน
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก

  • Day 11
    ติรานา (Tirana) – กรูจา (Kruja) – พริซเรน (Prizren)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      ออกเดินทางสู่เมือง กรูจา (Kruja) มีระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที 
      ชื่อของเมืองกรูจานี้มีที่มาจากภาษาอัลบาเนียคำว่า krua หมายความว่า น้ำพุธรรมชาติ ส่วนสมญานามของเมืองนี้คือ เมืองแห่งสกันเดอร์เบกวีรบุรุษของชาติ เนื่องจากสกันเดอร์เบกได้เป็นหัวหน้าผู้นำในการต่อต้านการรุกรานของพวกออตโตมันยาวนานถึงสามครั้งสามคราในปีค.ศ.1450, 1457, 1466 ต่อมาในปีค.ศ. 1478 สกันเดอร์เบกได้เสียชีวิตลง พวกออตโตมันก็เข้ามายึดครองและทำลายเมืองนี้อีกครั้ง เมืองนี้มีความสำคัญเป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรอัลบาเนียในช่วงปีค.ศ.1190 เพราะเดิมชาวอิลลีเรียนเผ่าอัลบานิเข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่ อันเป็นต้นกำเนิดของชาวอัลบาเนียในปัจจุบัน 
      นำท่านเดินชม ป้อมปราการกรูจา (Kruja Castle) ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 ซึ่งมีรูปทรงเป็นวงรีและมีกำแพงล้อมรอบป้อมปราการที่แข็งแกร่งพร้อมหอคอย 9 อาคารที่ใช้เป็นจุดสังเกตการณ์และส่งสัญญาณรบในช่วงทำสงคราม ภายในป้อมปราการสามารถพบเห็นบ้านเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่หลัง พร้อมนำท่านชม พิพิธภัณฑ์ด้านอัตชีวประวัติของสกันเดอร์เบก (Museum of Gjergj Kastrioti Skanderbeg) และพาชมพิพิธภัณฑ์ทางมานุษยวิทยาด้านวัฒนธรรมเผ่าพันธุ์ (Ethnographic Museum) ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ภายในป้อมปราการแห่งนี้เช่นกัน จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นในย่านตลาดเก่าที่ขายสินค้าพื้นเมือง อาทิเช่น เครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง พรมถักทอมือ หินสี งานไม้แกะสลัก เป็นต้น จุดเด่นเอกลักษณ์เฉพาะของตลาดนี้คือร้านค้าทุกร้านทำด้วยไม้ทั้งหมด 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย [ ระยะทางจาก กรูจา/ประเทศอัลบาเนีย ถึง พริซเรน/ประเทศโคโซโว ราว 170 กิโลเมตร // 3 ชั่วโมง ]
      แสงอาทิตย์ส่อง เตรียมตัวเดินทางข้ามพรมแดนไปสู่ ประเทศโคโซโว ที่อยู่ติดกันทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอัลบาเนีย หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านชายแดนของทั้งสองประเทศแล้ว นำท่านเดินทางไปสู่ เมืองพริซเรน (Prizren) ซึ่งเป็นเมืองที่ประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานอีกเมืองหนึ่งบนคาบสุมทรบอลข่าน เพราะเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและศาสนาที่เป็น
      มรดกสืบทอดกันมาถึงปัจจุบันซึ่งท่านสามารถพบเห็นได้จากอาคารบ้าน
      เรือนสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงโบสถ์ และมัสยิดที่กระจายตัว
      อยู่ทั่วเมือง เมื่อเดินทางถึงจุดหมายแล้ว อิสระใกล้ยามเย็น เชิญท่านพักผ่อนใน
      โรงแรมหรือเดินเล่นชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองในย่าน Shadervan ซึ่งถือว่า
      เป็นจุดนัดพบของคนเมืองที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านกาแฟ บาร์ ร้านไอศกรีม ร้านอาหาร ฯลฯ หลายแห่งในเมืองแห่งนี้ตามอัธยาศัย
      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก 

  • Day 12
    พริซเรน (Prizren) – พริสติน่า (Pristina)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      นำท่านชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญๆ อันเป็นไฮไลท์ของเมืองพริซเรน อันได้แก่ 
      ป้อมปราการพริซเรน (Prizren Fortress) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Kaljaja เป็นป้อมปราการเก่าในสมัยยุคกลางซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเซอร์เบียมาก่อน อีกทั้งเป็นป้อมปราการที่มีรูปทรงทันสมัยและถูกใช้งานมากว่า 450 ปีโดยพวกออตโตมันที่เข้ามาปกครองในแถบนี้ วิวทิวทัศน์ที่มองมาป้อมปราการนี้ดูสวยงามไกลสุดลูกหูลูกตาเห็นทั้งเมืองอย่างไม่มีสิ่งใดบดบัง จัดเป็นจุดชมวิวของเมืองที่ดีอีกแห่งหนึ่ง
      สหพันธ์ชาวอัลบาเนียแห่งพริซเรน (Albanian League of Prizren) เป็นอาคารคอมเพล็กซ์เก่าซึ่งองค์กรทางการเมืองของชาวอัลบาเนียได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ.1878 โดยองค์กรนี้มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมตัวแทนของชาวอัลบาเนียจำนวน 300 คนจากทุกภาคส่วนในการผลักดันช่วยสร้างชาติให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมหลังจากประสบความล้มเหลวในการกู้ชาติของสกันเดอร์เบกในช่วงยุคกลาง
      โรงอาบน้ำเก่าแก่แห่งพริซเรน (Gazi Mehmed Pasha’s Hammam) เป็นอาคารเก่าแก่สมัยยุคออตโตมันซึ่งสร้างอยู่ในใจกลางเมืองในปีค.ศ.1564โดยGazi Mehmed Pasha โรงอาบน้ำแห่งนี้มีลักษณะเป็นโดมใหญ่ 2 หลังกับโดมเล็ก 9 หลังและแบ่งแยกเป็นสัดส่วนของผู้ชายและผู้หญิงอย่างชัดเจน โรงอาบน้ำนี้เป็นเสมือนสิ่งก่อสร้างชิ้นเอกที่สะท้อนบ่งบอกคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสังคมได้อย่างเด่นชัด ส่วนการใช้งานของโรงอาบน้ำสาธารณะเก่าแก่แห่งนี้ได้ยุติลงในปีค.ศ.1944 หลังจากองค์การนาโต้ได้เข้ามาแทรกแซงในโคโซโวในปีค.ศ.1999 จึงเกิดการปกป้องโรงอาบน้ำนี้ไว้เฉกเช่นโบราณสถาน ปัจจุบันนี้อาคารถูกใช้เป็นที่แสดงผลงานศิลปะตามโอกาสเป็นครั้งคราว
      มัสยิดโซฟี ซีนาน ปาชา (Sofi Sinan Pasha Mosque) คือมัสยิดเก่าแก่ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในเมืองซึ่งเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมของยุคออตโตมัน ข้อความจารึกภายในมัสยิดกล่าวไว้ว่า มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1615 เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับผู้คนพลเมืองของโซฟีฯเอง โดยมัสยิดสร้างเป็นกำแพงหนากว่า 2 เมตร มีหน้าต่างมากกว่า 50 บานและมีหอขานละหมาดสูงที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง มัสยิดตกแต่งเต็มประดาไปด้วยสิ่งประดับสีสันและรูปทรงต่างๆทั้งอักษรอารบิกและลวดลายพรรณไม้อย่างบรรเจิดสวยงาม
      โบสถ์คริสต์คูมา คามิอิ (Church of Our Lady of Ljevis) โบสถ์แบบไบแซนไทน์ที่เก่าแก่ที่สุดของพริซเรนซึ่งสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9-11 และต่อมาในปีค.ศ.1307 กษัตริย์มิลูตินแห่งเซอร์เบียได้สั่งปรับปรุงและขยายโบสถ์เพิ่มเติม รูปแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่ปรากฏอยู่ ถือเป็นผลงานตัวอย่างชิ้นเอกด้านงานสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ที่ดีเยี่ยมที่สุดในทวีปยุโรป ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีฝีมือปราณีตแสดงถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างคมชัดสวยงาม โบสถ์นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.2006 
      สะพานหินเก่า (The Old Stone Bridge) เป็นสะพานหินที่อยู่ในเขตเมืองเก่า เนื่องจากมีแม่น้ำ Lumebardhiไหลผ่านแบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่งแม่น้ำ
      สะพานหินนี้จึงเป็นบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการค้าขายและ
      คุณภาพชีวิตในการสัญจรอย่างสะดวกสบาย คาดว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้น
      ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 แต่มีการปรับปรุงและซ่อมแซมขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1982 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย        ออกเดินทางสู่ เมืองพริสติน่า (Pristina) มีระยะทางราว 75 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 20 นาที 
      เมืองพริสติน่า เป็นเมืองหลวงของประเทศโคโซโวเพิ่งได้ประกาศตัวเป็น
      เอกราชจากประเทศเซอร์เบียอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.2008 และเป็น
      เมืองหลวงที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์และภาษา โคโซโวมีภาษา
      ที่ใช้อย่างเป็นทางการทั้ง 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาอัลบาเนีย ภาษาเซอร์เบีย
       และภาษาเยอรมัน นำท่านชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเมืองพริสติน่าในลักษณะของการแวะถ่ายรูป ได้แก่ The National Library, Clock Tower (Sahat Kulla), The Newborn Monument และ The Skanderbeg Statue ตามลำดับ จากนั้นพาท่านไปจิบเบียร์ท้องถิ่นที่มีชื่อว่า PEJA BEER เพราะมีวลีเด็ดกล่าวไว้ว่า Drink a PEJA beer is A MUST!! หรือท่านใดสนใจจะทานกาแฟ Machiato ที่โคโซโวก็ช่างเหมาะพอดี เพราะได้รับการการันตีว่ารสชาติเยี่ยมไม่เป็นสองรองจากอิตาลีแต่อย่างใด
      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก  

  • Day 13
    พริสติน่า (Pristina) – อารามกราคานิก้า (Gracanica Monastery) – อิสตันบูล (Istanbul)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      นำท่านเดินทางท่องเที่ยวใน เมืองพริสติน่า (Pristina) อันได้แก่ 
      The Carshia Mosque
      Kosovo Museum
      Ethnological Museum
      Old Bazaar
      กลางวัน        รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย        นำท่านเดินทางท่องเที่ยวใน เมืองพริสติน่า (Pristina) ต่อจากช่วงเช้า ได้แก่ 
      The Mother Theresa Cathedral
      Jashar Pasha Mosque
      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      17.30 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติพริซติน่า นำท่านไปเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
      20.35 น.       เหินฟ้าสู่ อิสตันบูล โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบินที่ TK 1020 
      ( ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 40 นาที )
      23.15 น.       เดินทางถึงสนามบินอิสตันบูล อตาเติร์ก รอเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง กรุงเทพฯ
       

  • Day 14
    อิสตันบูล (Istanbul) – กรุงเทพ (Bangkok)
    • 01.25 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบินที่ TK 068 
      ( ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง 25 นาที )   ( บริการอาหารบนเครื่องบิน )
      14.50 น.  เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

Top